27.11.57

The Two Tower : ศึกหอคอยคู่กู้พิภพ (The Lord of the Rings-II : อภินิหารแหวนครองพิภพ-ภาค2)

THE LORD OF THE RINGS : The Two Towers
อภินิหารแหวนครองพิภพ -ภาค 2 : ศึกหอคอยคู่ กู้พิภพ

เข้าฉาย         :   December 19’ 2002
กำกับโดย      :   Peter Jackson
นำแสดง        :   Elijah Wood (Frodo Baggins), Lan McKellen (Gandalf), Viggo Mortensen (Aragorn Elessar), Liv Tyler (Arwen Undomiel), Sean Astin (Samwise), Christopher Lee (Saruman), Orlando Bloom (Legolas Greenleaf), Bernard Hill (the King of Rohan)
รายได้           :   Box Office = $926,047,111    (ทุนสร้าง = $94,000,000 )
ประเภท        :   Novel Epic Fantasy / Adventure
ความยาว       :   179 minutes


ภาพยนตร์ได้รับคำชื่นชมในการดัดแปลงบทภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี เฉกเช่นเดียวกับในภาคแรก และทำรายได้ทั่วโลกไปกว่า 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าภาพยนตร์ตอนแรกเสียอีก ได้เป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาลลำดับที่ 7 และคว้ารางวัลออสการ์มาได้ 2 รางวัล ได้แก่ เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม และ ลำดับเสียงยอดเยี่ยม ดีวีดีชุดพิเศษของภาพยนตร์ (Special Extended Version) ออกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ.2003


ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ ตอน-หอคอยคู่พิฆาต หรือ ศึกหอคอยคู่กู้พิภพ (The Lord of the Rings : The Two Towers) เป็นนิยายภาคที่สอง จากนิยายไตรภาค ชุด เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซึ่งประพันธ์โดย เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน โดยภาคแรก ชื่อตอน-มหันตภัยแห่งแหวน และภาคที่สาม ชื่อตอน-กษัตริย์คืนบัลลังก์

การผจญภัยเหนือจินตนาการ ของเหล่าฮอบบิทผู้กล้า และเหล่าบรรดาผองเพื่อน หลากหลายเผ่าพันธุ์ ในสงครามแห่งแหวน ความมหัศจรรย์พันลึกได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง


Trailers



อภิมหากาพย์ภาพยนตร์แฟนตาซี กับความตื่นตาสุดยิ่งใหญ่ จากนวนิยายแฟนตาซี อันลือลั่น อภินิหารแหวนครองพิภพในตอน ศึกหอคอยคู่กู้พิภพภาคต่อของ มหันตภัยแห่งแหวนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาคต่อที่ดีที่สุด ของวงการภาพยนตร์ เท่าที่เคยมีมา บัดนี้กลุ่มผองเพื่อนแห่งดินแดน มิดเดิล เอิร์ธที่กุมชะตามนุษย์โลก ได้ถึงคราวแตกกระสานซ่านเซ็นไปตามยถากรรมฟ้าลิขิต ผิดกับเหล่ากองทัพศัตรูนับหมื่น ที่ต่างเซ็งแซ่โห่ร้อง พร้อมกับผนึกกำลังมากมายมหาศาลเป็นประวัติการณ์ The Lord Of The Rings – II : The Two Towers ผู้นำแห่งแหวน กับความต้องการล้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ




เรื่องย่อ . . .


จากตอนจบของ The Fellowship of the Ring เหล่าพันธมิตรต้องสูญเสีย โบโรเมีย (รับบทโดย ฌอน บีน) และ แกนดาล์ฟ เดอะเกรย์ (รับบทโดย เอียน แมคเคลเลน) ไป ทำให้พวกเขาต้องแยกจากกัน เป็น 3 กลุ่ม

โฟรโด แบ็กกิ้นส์ และ แซมไว้ส แกมกี้ พวกเขากำลังหลงทางอยู่ที่เนินเขาแห่ง อีมีน มิวล์ (Emyn Muil) กอลลั่ม (สัตว์ประหลาดลึกลับที่มีความเกี่ยวข้องกับแหวน) ได้ตามมาขโมยแหวน โดยล่อลวงว่าจะนำทางพาสองฮ้อบบิท ไปสู่ประตูแห่งมอร์ดอร์ แต่ “แซม” รู้สึกได้ถึงความไม่น่าไว้วางใจของผู้ร่วมเดินทางใหม่ ในขณะที่ “โฟรโด้” กลับเวทนากอลลั่ม 


ณ ดินแดนมัฌชิมโลก (Middle Earth) อารากอร์น, ลีโกลาส และ กิมลิ กำลังเดินทางสู่อาณาจักร "โรฮาน" ทั้งสามได้พบกับกองทัพโรแฮนบนอานม้า อารากอร์นได้ทราบข่าวจาก เอโอเมอร์ (รับบทโดย คาร์ล เออร์บาน) ว่ากษัตริย์แห่งโรแฮน นามว่า เธโอเดน (รับบทโดย เบอร์นาร์ด ฮิล) ได้ต้องมนต์ของซารูมาน และถูกหักหลังโดยที่ปรึกษาคนสนิทนามว่า "เวิร์มธัง" (รับบทโดย แบร้ด ดูริฟ) เอโอวิน (รับบทโดย มิรันดา ออตโต้) หลานสาวแห่งกษัตริย์เธโอเดน เธอเป็นคนที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว และหลงใหลในตัวอารากอร์นอยู่ไม่น้อย แต่แม้ว่า “อารากอร์น” จะรู้สึกพึงพอใจในตัวเอโอวิน แต่ทว่าหัวใจของ "อารากอร์น" กลับอยู่ที่ริเวนเดล เมืองที่เขาเคยมีสัญญาใจกับ "อาร์เวน" (ลิฟ ไทเลอร์) หญิงงามแห่งเผ่าเอลฟ์


“แกนดาล์ฟ” กลับมาอีกครั้ง ในชุดคลุมกายขาวบริสุทธิ์ ไม่ใช่แกนดาล์ฟ เดอะเกรย์อีกต่อไปแล้ว แต่เป็น แกนดาล์ฟ เดอะไวท์ แทน มันชัดเจนว่าพลังของเขาฟื้นคืนมาใหม่อีกครั้ง เขากลับมาพร้อมกับจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน เช่นเดียวกับซามูไร นอกจากนี้ เขายังมีความมุ่งมั่นต่อหน้าที่อีกด้วย ซึ่งมันได้นำความเป็นผู้นำ กลับมาสู่กลุ่มพันธมิตรอีกครั้ง ขณะที่ เมอร์รี่ (รับบทโดย โดมินิค โมเนแกน) และ พิพพิน (รับบทโดย บิลลี บอยด์) สองฮ้อบบิทที่ถูกพวกอุรุกไฮ ลักพาตัวไป เพื่อส่งให้กับ ซารูแมน เพราะคิดว่าทั้งสองคือผู้ถือแหวน และเมื่อนั้น ทั้งสองก็จะต้องถูกฆ่า


เเมร์รี่และพิพพิน ได้รับการช่วยเหลือ ให้รอดพ้นจากความตาย โดยต้นไม้ยักษ์เดินได้ที่มีชื่อว่า ทรีเบียร์ด  ในขณะที่โฟรโดและแซม กำลังหาทางเดินข้ามไปยังดินแดนของศัตรู กองกำลังอันชั่วร้าย ก็วางแผนที่จะเข้ายึดครอง มิดเดิ้ลเอิร์ธ โดย ซารูแมน พ่อมดผู้มีจิตใจอำมหิต กำลังสร้างกองทัพ "อุรุกไฮ" (Uruk-Hai) ขึ้นมาจากซากศพ กองทัพดังกล่าวเป็นเผ่าพันธุ์ออร์ค (Orcs) ที่มีความแข็งแกร่งและดุร้ายกว่า ซารูมานได้ร่วมมือกับ "ดาร์ค-ลอร์ด-ซอรอน" (ซาลา เบเคอร์) ซึ่งก็มีกองทัพเป็นของตัวเองเช่นกัน ภารกิจของซารูมาน คือส่งกองทัพอุรุกไฮ ไปบดขยี้อาณาจักรโรแฮนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ หากเมืองโรแฮนถูกทำลายลง ดาร์ค-ลอร์ด-ซอรอน ก็จะส่งกองทัพ เข้าโจมตีจุดที่ยังมีการต่อต้าน อย่าง “กอนดอร์” เป็นเป้าหมายต่อไปเพื่อให้เผ่าพันธุ์มนุษย์สิ้นซาก


บนเส้นขนานของการเดินทาง ที่เหล่าพันธมิตรต้องเผชิญหน้า กับเหล่ากองทัพศัตรูเหนือจินตนาการ เล่ห์กลอันแยบยล รวมทั้งความมหัศจรรย์ของต้นไม้โบราณ และ พลังกองทัพอันแข็งแกร่ง ด้วยกันทั้งหมด  พวกเขาต้องลุกขึ้นเผชิญหน้ากับการต่อสู้ และสมดุลย์แห่งอำนาจ ได้เกิดการผลัดเปลี่ยนไปทั่วดินแดนมัฌชิมโลก สองหอคอยอันประกอบด้วย บาราด ดูร์ (Barad-dur) ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของ ดาร์ค-ลอร์ด-ซอรอน และ ออร์ธังค์ (Orthanc) ป้อมปราการของพ่อมด ซารูแมน ที่กำลังเร่งสร้างกองทัพนับหมื่น เพื่อทำสงครามล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ชาติ


"กอลลั่ม" ได้พาพวกเขาอ้อมลงมาทางใต้ ผ่านแคว้น “อิธิลิเอน” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งแห่งอาณาจักร "กอนดอร์" แล้วถูกฟาราเมียร์ น้องชายของโบโรเมียร์ จับตัวไว้ได้ ฟาราเมียร์ได้ทราบเรื่องการสิ้นชีวิตของพี่ชายของตน และเรื่องการเดินทางเพื่อไปทำลายแหวน จึงยินยอมปล่อยให้โฟรโดกับพวกเดินทางต่อไป “กอลลัม” พาฮอบบิททั้งสองเข้าไปในรังของ “ชีล็อบ” นางแมงมุมขนาดยักษ์ โฟรโดได้รับบาดเจ็บหนักจนแซมคิดว่าตายแล้ว จึงตัดสินใจจะปฏิบัติภารกิจต่อโดยลำพัง แต่เมื่อพวกออร์คมานำร่างของโฟรโดไป แซมก็ลอบติดตามไปจึงทราบว่าโฟรโดยังไม่ตาย เพียงแต่สิ้นสติไป และถูกจับไปขังไว้เท่านั้น


พวกเขาไปถึง “ไอเซนการ์ด” และได้พบกับ เมอร์รี่ ปิ๊ปปิ้น และเหล่าเอนท์ ที่ได้บุกเข้ายึดไอเซนการ์ดไว้ได้หมดแล้ว โดยขังซารูมาน กับ กริม่า เวิร์มทัง ไว้ภายใน แกนดาล์ฟได้พยายามพูดเกลี้ยกล่อมพ่อมด ซารูมาน ให้กลับใจ แต่ไม่เป็นผล เขาจึงถอดซารูมานออกเสียจากคณะของพ่อมด “กริม่า” ขว้างสิ่งของบางอย่างใส่ “แกนดัล์ฟ” ซึ่งพวกเขาพบว่าที่แท้มันคือหนึ่งในพาลันเทียร์ 'ศิลาส่องหล้า' ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ปิ๊ปปิ้นจึงเพ่งมองเข้าไปในพาลันเทียร์ และได้เผชิญหน้ากับ “เซารอน”  ทำให้แกนดัล์ฟกั บปิ๊ปปิ้น ต้องเร่งรุดเดินทางไปยังนคร “มินัสทิริธ” เพื่อเตรียมรับมือกับสงครามที่กำลังจะมาถึง









Ref :
  

25.11.57

Urban Legend - I : ปลุกตำนานโหด มหา'ลัย สยอง

Urban Legend - I  : 

ปลุกตำนานโหด มหาลัย สยอง

เข้าฉาย         :   September 25’ 1998
กำกับโดย      :   Jamie Blanks
นำแสดง        :   Jared Leto, Alicia Witt, Rebecca Gayheart, Michael Rosenbaum, Tara Reid
รายได้           :   Box Office = $72,527,595      (ทุนสร้าง = $14,000,000 )
ประเภท        :   Horror / Mystery / Thrillers
ความยาว       :   100 minutes


Trailers





เรื่องย่อ . . .



เรื่องราวสยองขวัญในมหาวิทยาลัยนิวอิงแลนด์ ที่ถูกเล่าขานต่อๆ กันมา จนกลายเป็นตำนาน กำลังจะกลายเป็นจริง เมื่อมีฆาตกรลึกลับนำมาลอกเลียนแบบ  ทำให้มีคนตายทีละคนตามแบบวิธีฆ่าโหดในตำนาน  และในเมื่อตำรวจไม่เชื่อเรื่องตำนาน เหล่านักศึกษาใจกล้าจึงตัดสินใจค้นหาความจริงที่เกิดขึ้น


"นาตาลี" นักศึกษามหาวิทยาลัยในนิวอิงแลนด์ พบว่าเธอตกอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์ฆาตกรรมสุดโหดหลากหลายวิธี ที่ลอกเลียนจากตำนานต่างๆ ที่เคยเล่าขาน เธอจำต้องค้นหาความจริงของตำนานโหด ที่เคยเกิดขึ้นจริงในมหาวิทยาลัยเพ็นเติลตัน เมื่อ 30 ปีก่อน จากอาจารย์ผู้เคยอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น 


ในขณะที่บรรดารุ่นน้องวัยคึกคะนอง ต่างเตรียมฉลองวันครบรอบตำนานสยอง ที่เวียนมาถึง "นาตาลี" เริ่มแน่ใจแล้วว่า.. เธอกำลังตกเป็นเป้าหมายคนต่อไปของมาตกรโรคจิต ผู้หวังสร้างตำนานใหม่โดยใช้เธอเป็นเหยื่อ!   แล้วเธอจะรอดพ้นจากเงื้อมือฆาตกรโรคจิตหรือไม่ ... ติดตามได้ในภาพยนตร์.


Soundtrack


Soundtrack in 3D


Ref :
  
 
 

15.11.57

Moulin Rouge : มูแลง รูจ

Moulin Rouge  :  มูแลง รูจ



เข้าฉาย         :   May’ 2001
กำกับโดย      :   Baz Luhrmann
นำแสดง        :   Nicole Kidman, Ewan McGregor, Jim Broadbent, Richard Roxburgh, John Leguizamo, Jacek Koman, Caroline O’Connor
รายได้           :   Box Office = $179,213,434    (ทุนสร้าง = $52,000,000 )
ประเภท        :   Drama / Musical / Romance
ความยาว       :   128 minutes

ภาพยนตร์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 8 สาขา โดยได้รับรางวัลมา 2 สาขา จากการออกแบบเครื่องแต่งกาย และการออกแบบฉาก โดยแคเทอรีน มาร์ติน (ภรรยาของเลอห์มานน์) และรางวัลลูกโลกทองคำอีก 3 สาขา คือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (สาขาภาพยนตร์ตลก และเพลง), รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (นิโคล คิดแมน) และรางวัลดนตรีประกอบยอดเยี่ยม  อีกทั้งภาพยนตร์ยังได้รับรางวัลบาฟตา สาขานักแสดงประกอบชายยอดเยี่ยม คือ จิม บรอดเบนท์


มูแลงรูจ! (Moulin Rouge!) เป็นภาพยนตร์เพลง เรื่องที่สามในภาพยนตร์ชุดไตรภาค "The Red Curtain Trilogy" ของบาซ เลอห์มานน์ ออกฉายในปี พ.ศ. 2544 เขียนบทโดยเลอห์มานน์ ดัดแปลงจากเรื่องของออร์ฟูและออริดิซี ในตำนานเทพปกรณัมกรีก และจากอุปรากรเรื่อง La Traviata ของจูเซปเป แวร์ดี



Trailers



ดนตรีประกอบภาพยนตร์ในเรื่องมีความโดดเด่น ที่นำเพลงในสมัยนิยม ทั้งทำนองเพลง หรือคำร้องบางส่วน ไม่ว่าจะเป็นเพลงป็อบ ร็อก ริทึมแอนด์บลู มาสอดแทรกนำเสนอในเนื้อหาของภาพยนตร์ ได้แก่


"Nature Boy" ของ เดวิด โบอี
"The Sound of Music" และ "The Lonely Goatherd" จากภาพยนตร์ มนต์รักเพลงสวรรค์
"Lady Marmalade" ขับร้องโดย คริสติน่า อากีเลร่า ลิล คิม มิย่า มิสซี เอลเลียต และพิงก์
"Because We Can" โดย แฟตบอยสลิม
"Rhythm of the Night" ของ ไดแอน วาร์เรน
"Material Girl" และ "Like a Virgin" โดย มาดอนนา
"Smells Like Teen Spirit" โดย เนอร์วานา
"Diamonds Are a Girl's Best Friend" ที่เคยขับร้องโดย มาริลิน มอนโร
"Diamond Dogs" และ "Heroes" ของ เดวิด โบวี
"One Day I'll Fly Away" ของ โจ แซมเปิล และเดอะครูเซเดอร์ส
"Children of the Revolution" ของ ที.เร็กซ์ ขับร้องโดย โบโน
"Roxanne" ของ เดอะโพลิซ
"The Show Must Go On" ของ ควีน

"Your Song" ของ เอลตัน จอห์น

Your Song



"Love is Like Oxygen" ของ สวีต
"Love is a Many-Splendored Thing" ของ The Four Aces
"Up Where We Belong" ของ โจ ค็อกเกอร์
"All You Need Is Love" ของ เดอะบีทเทิลส์
"I Was Made for Lovin' You" ของ คิส
"One More Night" ของ ฟิล คอลลินส์
"Pride (In the Name of Love)" ของ ยูทู
"Silly Love Songs" ของ พอล แมคคาร์ตนีย์
"Don't Leave Me This Way" ของ Kenneth Gamble, Leon Huff และ Cary Gilbert
"Fool To Believe" แต่งโดย บาซ เลอห์มานน์ และเครก อาร์มสตรอง

"I Will Always Love You" ดอลลี พาร์ตัน ขับร้องโดยดอลลี พาร์ตัน และวิทนีย์ ฮูสตัน

การที่ภาพยนตร์ใช้เพลงฮิตจำนวนมาก ทำให้ "เลอห์มานน์" ต้องใช้เวลาเกือบสองปีในการติดต่อเรื่องลิขสิทธิ์


ในภาพยนตร์มีเพลงที่แต่งขึ้นใหม่หนึ่งเพลง คือเพลง "Come What May" (เป็นคนละเพลงกับเพลง Come What May ที่ขับร้องในปี 1952 โดย แพตตี เพจ)  แต่งโดย David Baerwald ขับร้องโดยยวน แมคเกรเกอร์ และนิโคล คิดแมน เป็นเพลงที่เดิมแต่งขึ้นสำหรับใช้ในภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้าของเลอห์แมนน์ คือเรื่อง โรมิโอ + จูเลียต แต่ได้นำมาใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้แทน โดยใช้เป็นเพลงสำหรับลักลอบแสดงความรักต่อกันระหว่าง "คริสเตียน" และ "ซาทีน"

Come What May




เรื่องย่อ . . .

เรื่องราวเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1899 ณ โรงละครอันเลื่องชื่อ “มูแลง รูจ” ย่านมองมาร์ต ในกรุงปารีส ซึ่งมีจุดเด่นที่อาคารโรงละครเป็นรูปกังหันลม (ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า มูแลงส์)


คริสเตียน (ยวน แม็คเกรเกอร์) นักเขียนหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ในเชิงกวี ขัดขืนคำสั่งของบิดา ซึ่งเป็นชนชั้นกลาง ก้าวเข้าไปสู่อีกฟากของโลก ในแวดวงของชาวโบฮีเมียนแห่ง มองต์มาร์ท (Montmartre) แห่งกรุงปารีส โดยการนำของชายไว้เครา ที่มีอุปนิสัยดื้อดึง ตูลูส-ลอเทร็ค (รับบทโดย จอห์น เลกีซาโม) อดีตผู้ดีที่ถูกตัดออกจากกองมรดก คริสเตียนได้พบกับชาวโบฮีเมียน ภายใต้การปกครองของ ตูลูส-ลอเทร็ค ได้แก่ หมอ (รับบทโดย แกร์รี่ แม็คโดนัลด์) ที่หลงคิดไปว่าตัวเองเก่ง, นักเต้นแทงโก้ (รับบทโดย จาเซ็ค โคแมน) ที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นชาวอาเจนตินา, ซาตี (รับบทโดย แม็ทธิว วิตเตท) และนักเขียนที่ชื่อ ออเดรย์ (รับบทโดย เดวิด เวนแฮม) 

ผู้คนทั้งหมดใช้ชีวิตอยู่ใน มูแลง รูจ (Moulin Rouge) ไนท์คลับสุดหรูอันขึ้นชื่อของปารีส ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ชวนลุ่มหลง สถานที่รวมกันของชนชั้นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกผู้ดี, เศรษฐี, คนงาน, ศิลปิน, พวกโบฮีเมียน, นางระบำ และ ผู้หญิงทำงาน โดยมี ซิดเลอร์ (จิม บอร์ดเบ้นท์) เป็นผู้จัดการคลับ 


และที่ มูแลง รูจ นั่นเอง คริสเตียน ได้พบกับ ซาติน (รับบทโดย นิโคล คิดแมน) ดาราประจำคลับ และโสเภณีที่สวยที่สุดของเมือง 


รวมทั้งเพื่อนพ้องอันได้แก่ นางระบำแคน-แคน นีนี่-เลกส์-อิน-ดิ-แอร์ (รับบทโดย คาโรลีน โอคอนเนอร์), ช่างแต่งตัวของ ซาติน นามว่า มารี (รับบทโดย เคอร์รี่ วอลเกอร์), นักแสดง เลอ ช็อคโกลาต์ (รับบทโดย ดิวเบียร์ โอปารี) และ นางระบำ ม็อง โฟรมาจ (รับบทโดย ลาร่า มัลคาฮีย์) ในที่สุด คริสเตียนหลงรักซาติน อย่างหมดใจ แต่เพราะซาติน มาจากครอบครัวที่ยากจนมากเธอจึงไม่คิดว่าความรักจะมีอยู่จริง เงินทองทรัพย์สินเท่านั้นที่จะบรรดาลความสุขมาให้ และซิดเลอร์เป็นคนที่สร้างเธอให้เป็นอย่างทุกวันนี้ แต่ซาตินไม่ต้องการเป็นนางระบำแคน-แคน ไปจนตลอดชีวิต ความฝันของเธอคือการได้เป็นนักแสดง เธอมีความตั้งใจแน่วแน่ และมีความสามารถโดดเด่น ยากจะหาใครเทียบได้ ในการสร้างสรรค์ลีลาการเต้นรำที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่เมื่อคริสเตียนร่ายเวทมนตร์ไปที่เธอผ่านบทเพลง ซึ่งทำให้เธอเชื่อว่า ความรักมีอยู่จริงทำให้เขาเป็นคนที่น่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับเธอ


คริสเตียน ได้รับการชักชวนจากตูลูส-โลแตร็ก (รับบทโดย เลกูซิอาโน) ให้เขียนบทละครเพลงเรื่องใหม่ให้กับคณะคาบาเรต์ของแฮโรลด์ ซิดเลอร์ (รับบทโดย บรอดเบนท์) ชื่อเรื่อง "Spectacular Spectacular" ละครเพลงเรื่องใหม่นี้ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากท่าน "ดยุก" มหาเศรษฐีแห่งมอนร็อธ (รับบทโดย ร็อกซ์เบิร์ก) ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวจะช่วยพยุงให้โรงละครแห่งนี้อยู่รอดต่อไปได้ ทุกคนจึงฝากความหวังไว้ที่ "ซาทีน" เพราะดยุก ลุ่มหลงเธอมาก โดยที่ "ดยุก" ตั้งเงื่อนไขว่า "ซาทีน" จะต้องมาเป็นนางบำเรอของ "ดยุก" ก่อนที่จะ เปิดทำการแสดงรอบแรก


ละครเพลง Spectacular Spectacular ที่ซ้อนอยู่ในเรื่อง เป็นละครเพลงแบบโบฮีเมีย คือมีเนื้อเรื่องในอุดมคติเกี่ยวกับความจริง ความสวยงาม อิสรภาพ และความรัก เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมอินเดีย เกี่ยวกับนางบำเรอของมหาราชาอินเดีย ที่ลักลอบมีความรักกับนักเล่นซีตาร์พเนจร เปรียบเทียบกับความรักของซาทีน กับคริสเตียน และดยุก


ก่อนการแสดงรอบแรกจะเริ่มขึ้น "ดยุก" พบความจริงว่า "คริสเตียน" กับ "ซาทีน" ลักลอบมีความสัมพันธ์กันตลอดมา จึงยื่นคำขาดกับซิดเลอร์ ให้กำจัดคริสเตียนให้พ้นทาง มิฉะนั้นจะให้ลูกสมุนสังหารคริสเตียนเสีย ซาทีนจึงบอกกับคริสเตียนว่า เธอเลือกที่จะแต่งงานกับดยุก เช่นเดียวกับในเรื่อง Spectacular Spectacular ที่นางสนมเลือกอภิเษกกับมหาราชา แทนที่จะเป็นนักเล่นซีตาร์ ทั้งนี้เพื่อผลักไสให้เขาเดินออกไปจากชีวิตของเธอ และไม่ถูกสมุนของดยุกสังหาร


ด้วยความคับแค้นใจ คริสเตียนกลับมาขึ้นบนเวทีระหว่างการแสดงรอบแรก ในชุดแต่งกายของนักเล่นซีตาร์ เขาประกาศตัดสัมพันธ์กับซาทีนต่อหน้าผู้ชมทั้งโรงละคร แล้วเดินจากไป แต่เมื่อซาทีนร้องเพลง "Come What May" เพลงที่ทั้งคู่เคยตกลงกันว่าจะใช้แสดงความรักต่อกัน ในตอนท้ายของการแสดง ทั้งคริสเตียนและซาทีนก็รับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของอีกฝ่าย ว่าต่างฝ่ายก็ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน


แต่เมื่อการแสดงละครรอบแรก ซึ่งสำเร็จลงด้วยดี สร้างความประทับใจแก่ผู้ชม และได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลาม แต่แล้ว "ซาทีน" ก็จบชีวิตลงกระทันหันภายหลังการแสดงจบ เนื่องจากอาการป่วยเป็นวัณโรคเรื้อรัง โดยที่ไม่มีใครรู้ นอกจากผู้จัดการไนท์คลับ เธอจากไปในอ้อมกอดของคริสเตียน ก่อนตายเธอให้เขาสัญญาว่า จะเขียนเรื่องราวความรักระหว่างคนทั้งคู่ เกี่ยวกับ "สิ่งที่ดีที่สุดที่เราได้เรียนรู้จากความรักที่แท้จริง คือการได้รัก และถูกรักตอบ" 


หนึ่งปีหลังการเสียชีวิตของซาทีน คริสเตียนได้เริ่มเขียนบทละคร พรรณนาความรักของเขากับซาทีน ชื่อเรื่องว่า "มูแลงรูจ"







Ref :