15.11.57

Moulin Rouge : มูแลง รูจ

Moulin Rouge  :  มูแลง รูจ



เข้าฉาย         :   May’ 2001
กำกับโดย      :   Baz Luhrmann
นำแสดง        :   Nicole Kidman, Ewan McGregor, Jim Broadbent, Richard Roxburgh, John Leguizamo, Jacek Koman, Caroline O’Connor
รายได้           :   Box Office = $179,213,434    (ทุนสร้าง = $52,000,000 )
ประเภท        :   Drama / Musical / Romance
ความยาว       :   128 minutes

ภาพยนตร์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 8 สาขา โดยได้รับรางวัลมา 2 สาขา จากการออกแบบเครื่องแต่งกาย และการออกแบบฉาก โดยแคเทอรีน มาร์ติน (ภรรยาของเลอห์มานน์) และรางวัลลูกโลกทองคำอีก 3 สาขา คือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (สาขาภาพยนตร์ตลก และเพลง), รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (นิโคล คิดแมน) และรางวัลดนตรีประกอบยอดเยี่ยม  อีกทั้งภาพยนตร์ยังได้รับรางวัลบาฟตา สาขานักแสดงประกอบชายยอดเยี่ยม คือ จิม บรอดเบนท์


มูแลงรูจ! (Moulin Rouge!) เป็นภาพยนตร์เพลง เรื่องที่สามในภาพยนตร์ชุดไตรภาค "The Red Curtain Trilogy" ของบาซ เลอห์มานน์ ออกฉายในปี พ.ศ. 2544 เขียนบทโดยเลอห์มานน์ ดัดแปลงจากเรื่องของออร์ฟูและออริดิซี ในตำนานเทพปกรณัมกรีก และจากอุปรากรเรื่อง La Traviata ของจูเซปเป แวร์ดี



Trailers



ดนตรีประกอบภาพยนตร์ในเรื่องมีความโดดเด่น ที่นำเพลงในสมัยนิยม ทั้งทำนองเพลง หรือคำร้องบางส่วน ไม่ว่าจะเป็นเพลงป็อบ ร็อก ริทึมแอนด์บลู มาสอดแทรกนำเสนอในเนื้อหาของภาพยนตร์ ได้แก่


"Nature Boy" ของ เดวิด โบอี
"The Sound of Music" และ "The Lonely Goatherd" จากภาพยนตร์ มนต์รักเพลงสวรรค์
"Lady Marmalade" ขับร้องโดย คริสติน่า อากีเลร่า ลิล คิม มิย่า มิสซี เอลเลียต และพิงก์
"Because We Can" โดย แฟตบอยสลิม
"Rhythm of the Night" ของ ไดแอน วาร์เรน
"Material Girl" และ "Like a Virgin" โดย มาดอนนา
"Smells Like Teen Spirit" โดย เนอร์วานา
"Diamonds Are a Girl's Best Friend" ที่เคยขับร้องโดย มาริลิน มอนโร
"Diamond Dogs" และ "Heroes" ของ เดวิด โบวี
"One Day I'll Fly Away" ของ โจ แซมเปิล และเดอะครูเซเดอร์ส
"Children of the Revolution" ของ ที.เร็กซ์ ขับร้องโดย โบโน
"Roxanne" ของ เดอะโพลิซ
"The Show Must Go On" ของ ควีน

"Your Song" ของ เอลตัน จอห์น

Your Song



"Love is Like Oxygen" ของ สวีต
"Love is a Many-Splendored Thing" ของ The Four Aces
"Up Where We Belong" ของ โจ ค็อกเกอร์
"All You Need Is Love" ของ เดอะบีทเทิลส์
"I Was Made for Lovin' You" ของ คิส
"One More Night" ของ ฟิล คอลลินส์
"Pride (In the Name of Love)" ของ ยูทู
"Silly Love Songs" ของ พอล แมคคาร์ตนีย์
"Don't Leave Me This Way" ของ Kenneth Gamble, Leon Huff และ Cary Gilbert
"Fool To Believe" แต่งโดย บาซ เลอห์มานน์ และเครก อาร์มสตรอง

"I Will Always Love You" ดอลลี พาร์ตัน ขับร้องโดยดอลลี พาร์ตัน และวิทนีย์ ฮูสตัน

การที่ภาพยนตร์ใช้เพลงฮิตจำนวนมาก ทำให้ "เลอห์มานน์" ต้องใช้เวลาเกือบสองปีในการติดต่อเรื่องลิขสิทธิ์


ในภาพยนตร์มีเพลงที่แต่งขึ้นใหม่หนึ่งเพลง คือเพลง "Come What May" (เป็นคนละเพลงกับเพลง Come What May ที่ขับร้องในปี 1952 โดย แพตตี เพจ)  แต่งโดย David Baerwald ขับร้องโดยยวน แมคเกรเกอร์ และนิโคล คิดแมน เป็นเพลงที่เดิมแต่งขึ้นสำหรับใช้ในภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้าของเลอห์แมนน์ คือเรื่อง โรมิโอ + จูเลียต แต่ได้นำมาใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้แทน โดยใช้เป็นเพลงสำหรับลักลอบแสดงความรักต่อกันระหว่าง "คริสเตียน" และ "ซาทีน"

Come What May




เรื่องย่อ . . .

เรื่องราวเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1899 ณ โรงละครอันเลื่องชื่อ “มูแลง รูจ” ย่านมองมาร์ต ในกรุงปารีส ซึ่งมีจุดเด่นที่อาคารโรงละครเป็นรูปกังหันลม (ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า มูแลงส์)


คริสเตียน (ยวน แม็คเกรเกอร์) นักเขียนหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ในเชิงกวี ขัดขืนคำสั่งของบิดา ซึ่งเป็นชนชั้นกลาง ก้าวเข้าไปสู่อีกฟากของโลก ในแวดวงของชาวโบฮีเมียนแห่ง มองต์มาร์ท (Montmartre) แห่งกรุงปารีส โดยการนำของชายไว้เครา ที่มีอุปนิสัยดื้อดึง ตูลูส-ลอเทร็ค (รับบทโดย จอห์น เลกีซาโม) อดีตผู้ดีที่ถูกตัดออกจากกองมรดก คริสเตียนได้พบกับชาวโบฮีเมียน ภายใต้การปกครองของ ตูลูส-ลอเทร็ค ได้แก่ หมอ (รับบทโดย แกร์รี่ แม็คโดนัลด์) ที่หลงคิดไปว่าตัวเองเก่ง, นักเต้นแทงโก้ (รับบทโดย จาเซ็ค โคแมน) ที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นชาวอาเจนตินา, ซาตี (รับบทโดย แม็ทธิว วิตเตท) และนักเขียนที่ชื่อ ออเดรย์ (รับบทโดย เดวิด เวนแฮม) 

ผู้คนทั้งหมดใช้ชีวิตอยู่ใน มูแลง รูจ (Moulin Rouge) ไนท์คลับสุดหรูอันขึ้นชื่อของปารีส ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ชวนลุ่มหลง สถานที่รวมกันของชนชั้นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกผู้ดี, เศรษฐี, คนงาน, ศิลปิน, พวกโบฮีเมียน, นางระบำ และ ผู้หญิงทำงาน โดยมี ซิดเลอร์ (จิม บอร์ดเบ้นท์) เป็นผู้จัดการคลับ 


และที่ มูแลง รูจ นั่นเอง คริสเตียน ได้พบกับ ซาติน (รับบทโดย นิโคล คิดแมน) ดาราประจำคลับ และโสเภณีที่สวยที่สุดของเมือง 


รวมทั้งเพื่อนพ้องอันได้แก่ นางระบำแคน-แคน นีนี่-เลกส์-อิน-ดิ-แอร์ (รับบทโดย คาโรลีน โอคอนเนอร์), ช่างแต่งตัวของ ซาติน นามว่า มารี (รับบทโดย เคอร์รี่ วอลเกอร์), นักแสดง เลอ ช็อคโกลาต์ (รับบทโดย ดิวเบียร์ โอปารี) และ นางระบำ ม็อง โฟรมาจ (รับบทโดย ลาร่า มัลคาฮีย์) ในที่สุด คริสเตียนหลงรักซาติน อย่างหมดใจ แต่เพราะซาติน มาจากครอบครัวที่ยากจนมากเธอจึงไม่คิดว่าความรักจะมีอยู่จริง เงินทองทรัพย์สินเท่านั้นที่จะบรรดาลความสุขมาให้ และซิดเลอร์เป็นคนที่สร้างเธอให้เป็นอย่างทุกวันนี้ แต่ซาตินไม่ต้องการเป็นนางระบำแคน-แคน ไปจนตลอดชีวิต ความฝันของเธอคือการได้เป็นนักแสดง เธอมีความตั้งใจแน่วแน่ และมีความสามารถโดดเด่น ยากจะหาใครเทียบได้ ในการสร้างสรรค์ลีลาการเต้นรำที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่เมื่อคริสเตียนร่ายเวทมนตร์ไปที่เธอผ่านบทเพลง ซึ่งทำให้เธอเชื่อว่า ความรักมีอยู่จริงทำให้เขาเป็นคนที่น่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับเธอ


คริสเตียน ได้รับการชักชวนจากตูลูส-โลแตร็ก (รับบทโดย เลกูซิอาโน) ให้เขียนบทละครเพลงเรื่องใหม่ให้กับคณะคาบาเรต์ของแฮโรลด์ ซิดเลอร์ (รับบทโดย บรอดเบนท์) ชื่อเรื่อง "Spectacular Spectacular" ละครเพลงเรื่องใหม่นี้ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากท่าน "ดยุก" มหาเศรษฐีแห่งมอนร็อธ (รับบทโดย ร็อกซ์เบิร์ก) ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวจะช่วยพยุงให้โรงละครแห่งนี้อยู่รอดต่อไปได้ ทุกคนจึงฝากความหวังไว้ที่ "ซาทีน" เพราะดยุก ลุ่มหลงเธอมาก โดยที่ "ดยุก" ตั้งเงื่อนไขว่า "ซาทีน" จะต้องมาเป็นนางบำเรอของ "ดยุก" ก่อนที่จะ เปิดทำการแสดงรอบแรก


ละครเพลง Spectacular Spectacular ที่ซ้อนอยู่ในเรื่อง เป็นละครเพลงแบบโบฮีเมีย คือมีเนื้อเรื่องในอุดมคติเกี่ยวกับความจริง ความสวยงาม อิสรภาพ และความรัก เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมอินเดีย เกี่ยวกับนางบำเรอของมหาราชาอินเดีย ที่ลักลอบมีความรักกับนักเล่นซีตาร์พเนจร เปรียบเทียบกับความรักของซาทีน กับคริสเตียน และดยุก


ก่อนการแสดงรอบแรกจะเริ่มขึ้น "ดยุก" พบความจริงว่า "คริสเตียน" กับ "ซาทีน" ลักลอบมีความสัมพันธ์กันตลอดมา จึงยื่นคำขาดกับซิดเลอร์ ให้กำจัดคริสเตียนให้พ้นทาง มิฉะนั้นจะให้ลูกสมุนสังหารคริสเตียนเสีย ซาทีนจึงบอกกับคริสเตียนว่า เธอเลือกที่จะแต่งงานกับดยุก เช่นเดียวกับในเรื่อง Spectacular Spectacular ที่นางสนมเลือกอภิเษกกับมหาราชา แทนที่จะเป็นนักเล่นซีตาร์ ทั้งนี้เพื่อผลักไสให้เขาเดินออกไปจากชีวิตของเธอ และไม่ถูกสมุนของดยุกสังหาร


ด้วยความคับแค้นใจ คริสเตียนกลับมาขึ้นบนเวทีระหว่างการแสดงรอบแรก ในชุดแต่งกายของนักเล่นซีตาร์ เขาประกาศตัดสัมพันธ์กับซาทีนต่อหน้าผู้ชมทั้งโรงละคร แล้วเดินจากไป แต่เมื่อซาทีนร้องเพลง "Come What May" เพลงที่ทั้งคู่เคยตกลงกันว่าจะใช้แสดงความรักต่อกัน ในตอนท้ายของการแสดง ทั้งคริสเตียนและซาทีนก็รับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของอีกฝ่าย ว่าต่างฝ่ายก็ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน


แต่เมื่อการแสดงละครรอบแรก ซึ่งสำเร็จลงด้วยดี สร้างความประทับใจแก่ผู้ชม และได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลาม แต่แล้ว "ซาทีน" ก็จบชีวิตลงกระทันหันภายหลังการแสดงจบ เนื่องจากอาการป่วยเป็นวัณโรคเรื้อรัง โดยที่ไม่มีใครรู้ นอกจากผู้จัดการไนท์คลับ เธอจากไปในอ้อมกอดของคริสเตียน ก่อนตายเธอให้เขาสัญญาว่า จะเขียนเรื่องราวความรักระหว่างคนทั้งคู่ เกี่ยวกับ "สิ่งที่ดีที่สุดที่เราได้เรียนรู้จากความรักที่แท้จริง คือการได้รัก และถูกรักตอบ" 


หนึ่งปีหลังการเสียชีวิตของซาทีน คริสเตียนได้เริ่มเขียนบทละคร พรรณนาความรักของเขากับซาทีน ชื่อเรื่องว่า "มูแลงรูจ"







Ref :
  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น