First Knight : สุภาพบุรุษยอดอัศวิน
Country : The United States of Kingdom
เข้าฉาย : July 7’ 1995
นำแสดง : Sean Connery, Richard Gere, Julia Ormond
กับกำโดย : Jerry Zucker
รายได้ : Box Office $127,600,435 (ทุนสร้าง $55,000,000)
ประเภท : Adventure / Warrior
/ Drama / Historical
ความยาว : 134 minutes.
Trailers
เรื่องย่อ . . . และ ตำนาน
ภาพยนตร์เรื่องนี้กล่าวถึงเรื่องราวความรักสามเส้า
ที่โด่งดังที่สุดในยุโรป จากตำนานเรื่องราวของกษัตริย์อาเธอร์ (King Arthur) ซึ่งเป็นตำนานที่ได้รับความนิยมแพร่หลายที่สุดในอังกฤษ และในโลกเรื่องหนึ่ง
ที่แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล่าขานสืบเนื่องกันมาจากนิยายพื้นบ้านปรัมปรา
และยังคงเป็นข้อโต้เถียงกันอยู่ในแวดวงประวัติศาสตร์ และโบราณคดี
ถึงความมีอยู่จริงของกษัตริย์อาเธอร์ในประวัติศาสตร์
แต่กระนั้น ตำนานที่เกี่ยวพันกับเรื่องราวของกษัตริย์อาเธอร์
ก็ได้กลายเป็นกระแสหลักในวรรณกรรมอังกฤษ
และเป็นเสาหลักทางจิตวิญญาณให้กับชาวอังกฤษ เรื่อยมาทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เกิดวิกฤติการณ์ขึ้นในชาติบ้านเมือง
ผู้คนจะพากันระลึกถึงว่า ครั้งหนึ่ง... ในราวศตวรรษที่ 5 ได้มีกษัตริย์ทรงพระนามว่า
“อาเธอร์” ได้เคยรวบรวมชนพื้นเมืองเผ่าต่างๆ บนเกาะอังกฤษ ให้มีความกล้าหาญ และสามัคคีกัน
เพื่อลุกขึ้นต่อสู้หยุดยั้งการรุกรานของพวกอนารยะชน เผ่าแซ็กซอนที่บุกเข้ามาบนเกาะอังกฤษจากฝั่งยุโรปไว้ได้
และในรัชสมัยของพระองค์บ้านเมืองปราศจากสงคราม
ซึ่งถือเป็นยุคทองของอังกฤษที่มีแต่สันติสุขและความเจริญไพบูลย์
แม้ว่ากษัตริย์ “อาเธอร์”
จะจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้าสลด แต่ก่อนที่เรือจะนำร่างที่บาดเจ็บสาหัสของพระองค์ ลอยออกไปสู่ท้องทะเล
พระองค์ได้ตรัสกับราษฎรของพระองค์เป็นครั้งสุดท้ายว่า “ในอนาคต... ถ้าหากเกาะอังกฤษมีภัย และประชาชนตกอยู่ในอันตราย
เราจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อปกป้องเกาะอังกฤษ และประชาชนของเรา” ตำนานกษัตริย์อาเธอร์จึงมีความสำคัญ
และเป็นพลังทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่สำหรับชาวอังกฤษเสมอมา หลายคนมีความเชื่ออยู่ลึกๆ
ในหัวใจว่า หากถึงคราวคับขันที่สุดจริงๆ แล้ว กษัตริย์ “อาร์เธ่อร์” จะทรงฟื้นขึ้นมา
เพื่อปกป้องพวกเขาอีกครั้ง ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ และภยันตรายทั้งปวง
ณ นครคาเมล็อทแห่งนี้
กษัตริย์ "อาเธอร์" ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม ด้วยระบบของตัวบทกฏหมาย (Rule of Law) ทำให้ยุคนี้เป็นยุคทองของอังกฤษ ที่แผ่นดินปราศจากสงคราม มีแต่ความเจริญ
และสันติสุข
ซึ่ง ณ
เวลานั้นยุคทองของอังกฤษที่มีแต่สันติสุข และความเจริญรุ่งเรือง
ที่ทำให้ตำนานแห่งกษัตริย์อาเธอร์ King Arthur จะยังคงอยู่เป็นที่กล่าวขาน
และคงเป็นอมตะไปอีกชั่วกาลนาน. . .
“กวินิเวียร์”
สาวงามในตำนานที่กล่าวขานกันว่าสวยที่สุดนางหนึ่งในประวัติศาสตร์
กับตำนานรักสามเส้าที่โด่งดังที่สุด . . . แห่งวรรณกรรมยุโรป
กับตำนานรักสามเส้าที่โด่งดังที่สุด . . . แห่งวรรณกรรมยุโรป
ได้มีการสร้างภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับตำนาน
ของกษัตริย์ “อาเธอร์” ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก และต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลานานหลายสิบปี
นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1953 จนถึงปี ค.ศ. 2007
มีการสร้างภาพยนตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับตำนานแห่งกษัตริย์ “อาเธอร์” ออกมามากกว่าสิบเรื่อง
เริ่มตั้งแต่ อัศวินโต๊ะกลม ปี 1953 จนถึง King Arthur ปี 2004 และ Shrek the Third ปี 2007 แต่ภาพยนตร์ที่กล่าวถึง “กวินิเวียร์” โดยตรงกลับมีเพียงเรื่องเดียว
ซึ่งสร้างเป็นหนังชุดฉายทางโทรทัศน์เมื่อประมาณ 5 ปีก่อนหน้านี้
และมีผู้สั่งเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยด้วย
แต่เมื่อติดต่อไปที่ผู้จัดจำหน่ายปรากฏว่าจำหน่ายหมดแล้ว และไม่สามารถหาซื้อได้อีก
และหลังจากพิจารณาภาพยนตร์หลายเรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับตำนานกษัตริย์ “อาเธอร์” ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก
เช่น Knights of the Round
Table (อัศวินโต๊ะกลม),
Excalibur (ดาบเทพเจ้า),
Merlin, King Arthur,
First Knight ฯลฯ
ก็ปรากฏว่าภาพยนตร์ทุกเรื่องมีเนื้อหาที่กล่าวถึง เจ้าหญิงผู้เลอโฉมกว่าใคร ๆ นามว่า
“กวินิเวียร์” เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของเรื่องเท่านั้น
แต่คงมีเพียงภาพยนตร์เรื่อง
First Knight ที่กล่าวถึง
“กวินิเวียร์” เป็นหลัก และเป็นเนื้อหาส่วนใหญ่ ด้วยการนำเสนอรักสามเส้าที่โด่งดัง
และได้รับการกล่าวขวัญถึงมากที่สุด ในตำนานของยุโรป ระหว่างกษัตริย์อาเธอร์,
ราชินีกวินิเวียร์ และเซอร์ลานสลอท (ซึ่ง “ลานสลอท” ได้ชื่อว่าเป็นอัศวินที่มีฝีมือในการรบเก่งที่สุด
ในบรรดาอัศวินโต๊ะกลมทั้งหมดของกษัตริย์อาเธอร์)
และมูลเหตุของรักสามเส้านี้เอง ที่ทุกๆ
ตำนานกล่าวตรงกันว่าเป็นชนวนเหตุทำให้กษัตริย์อาเธอร์สิ้นพระชนม์
และทำให้นคร "คาเมล็อท" ต้องถึงคราวล่มสลาย
“ลานสล็อท”
(นำแสดงโดย ริชาร์ด เกียร์)
บุรุษนักผจญภัย
เขาไม่รู้จักคำว่า สันติภาพ หรือคุณธรรม ไม่เคยคิดฝันอยากเป็นอัศวิน
เขาเก่งเรื่องการใช้ดาบ และหารายได้จากการดวลดาบกับทุกคนที่ท้าทาย
ภาพยนตร์เริ่มต้น ณ
ช่วงเวลาภายหลังจากที่กษัตริย์ “อาเธอร์” (นำแสดงโดย ฌอน คอนเนอร์รี่ ที่เคยรับบทเป็นสายลับอังกฤษผู้โด่งดัง
และเป็นอมตะจนทุกวันนี้ คือ พระเอก 007 เจมส์ บอนด์ คนแรก)
ได้ทรงปราบปรามพวกอนารยะชนแซกซอน ที่บุกขึ้นมาบนเกาะอังกฤษจากฝั่งทวีปยุโรปได้แล้ว
และสามารถทำให้เกิดความสามัคคีระหว่างชนเผ่าต่างๆ บนเกาะอังกฤษได้ ทำให้
แผ่นดินปราศจากสงคราม มีแต่ความสงบร่มเย็น และความเจริญไพบูลย์
เมื่อบ้านเมืองที่พระองค์ปกครองร่มเย็นเป็นสุข พระองค์จึงนึกถึงการอภิเษกสมรส
และได้ทำหนังสือสู่ขอเจ้าหญิง “กวินิเวียร์” แห่งเมือง “เล-ออนเนส”
ซึ่งบิดาของนางได้ยกนางให้เป็นคู่หมั้นของพระองค์ตั้งแต่ที่นางยังเป็นเด็กเล็กๆ ซึ่งภายหลังพิธีอภิเษกสมรส "เมืองเล-ออนเนส"
ก็จะได้รับความคุ้มครองจากกษัตริย์ “อาเธอร์” อย่างเป็นทางการ
ซึ่ง “กวินิเวียร์” ได้ตอบว่านางพร้อมจะแต่งงานกับกษัตริย์ “อาเธอร์”
แล้ว และนางรู้สึกสงสารกษัตริย์ “อาเธอร์” ด้วยว่าสินสอดที่นางจะนำไปถวายพระองค์คือแผ่นดินที่ตกอยู่ในอันตราย
แต่กระนั้นนางก็จะรักพระองค์ ซึ่งนางจะไม่มีวันแต่งงานกับชายใด
โดยที่ไม่ได้รัก และในสายตาของนาง กษัตริย์ “อาเธอร์” ใม่ใช่คนหลงอำนาจ
นางสามารถมองเห็นคุณธรรม และเมตตาธรรมในพระเนตรของกษัตริย์ “อาเธอร์” ได้
นางไม่เคยพบใครเหมือนพระองค์ และนางจะรักใครอื่นไม่ได้อีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม ลางร้ายได้เริ่มบังเกิดขึ้นเนื่องจากเจ้าชาย “มาลากัน” (Prince Malagant) ซึ่งเป็นอัศวินที่เก่งกล้า และมีอิทธิพลมากมาย
อีกทั้งยังมีกองทัพในมือที่เข้มแข็งที่สุด ในบรรดาอัศวินโต๊ะกลมทั้งหมด
ไม่พอใจกษัตริย์อาเธอร์เป็นการส่วนตัว เพราะไม่เห็นด้วยกับแนวทางการปกครองที่เป็นธรรมของกษัตริย์อาเธอร์
ซึ่งเจ้าชาย “มาลากัน” ต้องการให้ปกครองด้วยอำนาจเผด็จการ ด้วยการยึดอำนาจถือเป็นเด็ดขาดของกษัตริย์
แต่กษัตริย์ “อาเธอร์” ต้องการปกครองด้วยระบบกฎหมาย
เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกคน การตัดสินความผิด หรือถูก จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายเท่านั้น
อีกทั้งความมักใหญ่ใฝ่สูงของเจ้าชาย “มาลากัน” ต้องการแผ่ขยายอำนาจ
อิทธิพลของประเทศออกไปอีก โดยอาศัยกองกำลังทหารด้วยการทำสงครามแย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งนานาอารยะประเทศ หากแต่กษัตริย์ “อาเธอร์” ไม่เห็นดีด้วยเพราะไม่ต้องการให้มีสงคราม เนื่องด้วยความคิดที่ไม่ลงรอยกัน
จนในที่สุดเจ้าชาย “มาลากัน” ก็แตกหักกับกษัตริย์ “อาเธอร์”
และขอถอนตัวออกจากอัศวินโต๊ะกลมและคาเมล็อท เพราะแนวคิดและคุณธรรมไปคนละทาง นับจากนั้นแผ่นดินอังกฤษจึงแตกแยกออกเป็นสองฝ่าย และรอเวลาที่สงครามใหญ่จะปะทุขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ในระหว่างการส่งตัว เจ้าสาวให้กับกษัตริย์อาเธอร์ นั้น
ก็เกิดเรื่องร้ายขึ้น เมื่อเจ้าชาย "มาลากัน" ได้นำกองทหารเข้ามาซุ่มโจมตี
และลักพาตัว “กวินิเวียร์” ไปเป็นตัวประกัน เพื่อใช้ต่อรองกับกษัตริย์อาเธอร์ แต่บังเอิญที่
“ลานสล็อท” ไปพบเหตุการณ์เข้าพอดี
จึงช่วยเหลือ “กวินิเวียร์” หลบหนีพวกทหารของเจ้าชายมาลากัน ด้วยไหวพริบ และความเฉลียวฉลาด ประกอบกับความสามารถในการใช้ดาบของเขา
จึงสามารถช่วย “กวินิเวียร์” ออกมาได้
และเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้ทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกัน แม้เพียงเวลาไม่นาน
“ลานสล็อท” ก็รู้สึกว่าตัวเองตกหลุมรัก “กวินิเวียร์” ซึ่งเขาก็รู้ด้วยสัญชาติญาณ ว่า
“กวินิเวียร์” เอง ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เขาจึงแสดงความรู้สึกอย่างเปิดเผยว่าเขาต้องการนาง
และรู้ว่านางเองก็ต้องการเขาเช่นกัน
“กวินิเวียร์” สามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้
เพราะรู้หน้าที่ที่จะต้องเข้าพิธีอภิเษกกับกษัตริย์ “อาเธอร์” เธอจึงจำต้องปฏิเสธ “ลานสล็อท”
นางบอกกับ “ลานสล็อท” ว่าหากเขายังมีศักดิ์ศรีก็ขออย่าให้ทำเช่นนี้กับนางอีก
ซึ่ง “ลานสล็อท” ได้ตอบว่าเขาไม่รู้จักศักดิ์ศรีแต่ขอยืนยันว่าเขาจะไม่จูบนางอีกถ้านางไม่เป็นฝ่ายขอเขาก่อน
แต่ก่อนจากกัน
เพื่อส่งตัว “กวินิเวียร์” กลับไปยังนคร “คาเมล็อท” นั้น เขาได้ขอร้องให้ “กวินิเวียร์”
สบตาเขาและอย่าหลบสายตาเขาถ้านางไม่มีอะไรปิดบังเขาจริง “กวินิเวียร์” แสร้งรับคำท้าจึงเกือบเผลอใจจูบปากกับ
“ลานสล็อท” แต่ก็ควบคุมตัวเองไว้ได้ทัน เขาถามว่านางจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสเมื่อใด
นางบอกว่ากำหนดไว้เป็นวันกลางฤดูร้อน “ลานสล็อท” กล่าวทิ้งท้ายไว้ด้วยความมั่นใจว่า
ก่อนรุ่งอรุณของวันกลางฤดูร้อนนางจะเป็นฝ่ายขอให้เขาจูบนาง
เมื่อ “ลานสล็อท” มาส่งกวินิเวียร์จนถึงบริเวณที่ใกล้กับถนน
ซึ่งมีกองกำลังทหารของกษัตริย์ "อาเธอร์" กำลังติดตามค้นหา “กวินิเวียร์” อยู่
เขาก็แยกทางจากไป กวินิเวียร์ไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวที่นางได้รับความช่วยเหลือจาก “ลานสล็อท”
ให้ใครทราบ นางเดินทางไปพบกษัตริย์อาเธอร์ ซึ่งกำลังรอต้อนรับนางอยู่ด้วยความดีใจที่ทราบว่านางปลอดภัย
กษัตริย์อาเธอร์ บอกกับ “กวินิเวียร์”
ว่านางไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับเขาก็ได้ หากทำไปเพียงเพราะต้องการทำตามความตั้งใจของบิดาของนาง
หรือเพียงเพราะเมืองเล-ออนเนส ของนางมีภัย
เพราะไม่ว่านางจะแต่งงานกับเขาหรือไม่ก็ตาม เขาจะต้องปกป้องคุ้มครองเมืองเล-ออนเนส
อยู่แล้ว
นางตอบว่านางอยากแต่งงานกับกษัตริย์ "อาเธอร์" แต่ไม่ใช่แค่เพราะมงกุฎกษัตริย์ กองทัพ หรือนครคาเมล็อท ที่ยิ่งใหญ่ หากเป็นเพราะนางต้องการแค่กษัตริย์อาเธอร์เท่านั้น
ถ้ากษัตริย์อาเธอร์รักนาง ดังนั้น กษัตริย์อาเธอร์ จึงได้แสดงบาดแผลที่มือให้ “กวินิเวียร์”
ดู และบอกนางว่าเขาจำได้ว่าเลือดไหลออกมามาก
และกวินิเวียร์นำมือเขาไปกุมไว้แล้วใช้แขนเสื้อของตัวเองเช็ดเลือดให้พระองค์
กวินิเวียร์บอกว่าแขนเสื้อยังเป็นรอยอยู่เลย กษัตริย์อาเธอร์ บอกว่าก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่าชีวิตมีความสุขเพียงใด
หากมีผู้หญิงคนหนึ่งรัก และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาอยาก....
ซึ่งเขาไม่สามารถพูดคำนี้ออกมาได้ จน “กวินิเวียร์” ต้องถามย้ำว่าเขาอยากอะไร แต่กษัตริย์อาเธอร์
ตอบเป็นปริศนาว่า อะไรที่นักปราชญ์บอกว่าไม่คงทน
อะไรที่ไม่สามารถจะให้สัญญาได้ อะไรที่อ้อยอิ่งอยู่นานกว่าแสงแดด
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นจริงๆ กษัตริย์อาเธอร์บอก “กวินิเวียร์” ว่า
เขาไม่อยากตายโดยที่ชีวิตยังคงไร้ความอบอุ่นอยู่บนใบหน้า และบอกกับ “กวินิเวียร์” ว่า
“จงแต่งงานกับตำแหน่งกษัตริย์
แต่รักตัวข้า” กวินิเวียร์ตอบพระองค์ว่า “หม่อมฉันรักพระองค์ได้วิธีเดียว
คือรักหมดทั้งกาย ทั้งใจ และวิญญาณ”
เมื่อแยกทางกับ “กวินิเวียร์”
แล้ว “ลานสล็อท” ก็ตระเวนเดินทางเร่ร่อนต่อไป และด้วยความบังเอิญ หรืออาจเป็นฟ้าลิขิตก็ตาม
เขาได้ช่วยคนเลี้ยงม้าของกษัตริย์ “อาเธอร์” ด้วยการไล่ตามม้าที่ตกใจวิ่งหนี และสามารถจับม้าตัวดังกล่าวไว้ได้
คนเลี้ยงม้าบอกเขาว่า ม้าสีขาวตัวนี้ เป็นม้าที่กษัตริย์ “อาเธอร์” ได้ทรงเลือกไว้เพื่อมอบให้แด่ราชินี
“กวินิเวียร์” ของพระองค์ และกำลังจะมีพิธีเลี้ยงฉลองกันในเมือง
เมื่อได้ยินว่ามีงาน
“ลานสล็อท” จึงเข้าไปในเมือง ซึ่งกำลังมีการละเล่นที่ต้องผ่านด่านอันตรายอยู่ โดยผู้ชนะจะได้รับจูบจากท่านหญิง
“กวินิเวียร์” มีผู้เข้าแข่งขันหลายคนแต่ก็ไม่มีใครสามารถผ่านเข้าไปได้ แม้แค่เพียงด่านต้นๆ
ก็ตาม แต่เมื่อ “ลานสล็อท” สมัครลงแข่งขันด้วย ซึ่งเขาไม่สวมชุดเกราะป้องกันตัว
และผู้ควบคุมหยุดเขาไว้ไม่ทัน “ลานสล็อท” ก็สามารถฝ่าด่านอันตรายเข้าไปได้ทั้งหมด
และเมื่อถึงเวลาที่เขาจะได้รับรางวัลเขาทวงคำพูดที่เขาบอกกับ “กวินิเวียร์” ไว้ก่อนแยกทางกันในป่า
ว่า “ถ้านางไม่เอ่ยปากขอก่อน เขาก็จะไม่จูบนางอีก” แต่ “กวินิเวียร์”
ปฏิเสธที่จะขอ ด้วยเกรงพระทัยต่อว่าที่พระสวามี (กษัตริย์ “อาเธอร์”) “ลานสล็อท” จึงประกาศกับประชาชนว่าเขาไม่บังอาจจูบท่านหญิง
“กวินิเวียร์” ที่น่ารักเพราะเขามีหัวใจเพียงดวงเดียวเท่านั้นที่จะสูญเสียได้
กษัตริย์ “อาเธอร์” ทรงชื่นชมในความสามารถของ
“ลานสล็อท” เป็นอันมาก พระองค์ไม่เคยเห็นใครองอาจกล้าหาญ และแคล่วคล่องว่องไวเช่นนี้เลย
พระองค์จึงอยากมอบตำแหน่งอัศวินโต๊ะกลมที่ว่างอยู่แทนเจ้าชาย “มาลากัน” ที่ได้ถอนตัวออกไป
ซึ่ง “ลานสล็อท” ปฏิเสธ แต่ ณ เวลานั้นเองเจ้าชายมาลากัน ก็ใช้แผนบุกเข้ามาชิงตัว “กวินิเวียร์”
อีกครั้ง “ลานสล็อท” เขาเข้าขัดขวางแต่ไม่ทัน จึงติดตามไปอย่างไม่ลดละ ซึ่งเจ้าชายมาลากัน ได้นำตัว “กวินิเวียร์” ไปขังไว้ในถ้ำแห่งหนึ่งบนภูเขา
“ลานสล็อต” จึงใช้อุบายหลอกว่าตัวเขาเป็นผู้แทนของกษัตริย์
“อาเธอร์” มาเจรจาเงื่อนไขกับเจ้าชายมาลากัน แต่จะต้องได้พบ “กวินิเวียร์” ก่อน เพื่อยืนยันว่าเธอยังปลอดภัย
แล้วจะกลับไปแจ้งเงื่อนไขให้กษัตริย์ “อาเธอร์” ทรงทราบ ครั้นเมื่อเจ้าชายมาลากัน
หลงกลให้เขาได้พบกับ “กวินิเวียร์” เขาจึงรีบเสี่ยงชีวิตช่วย “กวินิเวียร์” และพาหนีออกมาได้อีกครั้งหนึ่ง
การช่วยเหลือโดยยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย
ด้วยไหวพริบ และความองอาจกล้าหาญ เป็นครั้งที่สองภายในระยะเวลาไม่กี่วัน ยิ่งทำให้
“กวินิเวียร์” ประทับใจ “ลานสล็อท” อีกทั้งความใกล้ชิด และความเปิดเผยในการแสดงความรัก
ความต้องการในตัวนาง ทำให้ “กวินิเวียร์” ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ที่มีต่อ “ลานสล็อท”
ได้อีกต่อไป นางเผลอไผลไปชั่วขณะด้วยความซาบซึ้งตื้นตัน
ครั้งนี้นับเป็นความดีความชอบครั้งใหญ่
สำหรับลานสล็อท และเขายินยอมเข้ารับตำแหน่งอัศวินโต๊ะกลม แต่ “กวินิเวียร์” คัดค้าน
เพราะเกรงว่าถ้าเขาอยู่ต่อไปจะทำให้นางไขว้เขวจนอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นมาได้ แต่เขาปฏิเสธโดยยืนยันว่าเขาจะไปจาก
“คาเมล็อท” ทันทีที่นางไปด้วยกับเขา
หลังจากนั้นก็มีพิธีแต่งตั้งลานสล็อทเป็นอัศวิน
และตามมาด้วยพิธีอภิเษกสมรสระหว่างกษัตริย์ “อาเธอร์” กับ “กวินิเวียร์”
ภายหลังพิธีอภิเษกสมรสนั้นเอง
ก็มีข่าวร้ายแจ้งว่า เจ้าชายมาลากันได้นำกองทัพบุกเผาทำลายเมืองเลออนเนสแล้ว
กษัตริย์อาเธอร์รีบนำกองทัพออกไปช่วยเหลือทันที
และได้เกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างกองกำลังทั้งสอง แต่กองทัพของกษัตริย์ "อาเธอร์" ก็สามารถขับไล่กองทัพของเจ้าชายมาลากันให้ล่าถอยไปได้
และประชาชนจำนวนมากที่ถูกขังไว้ในโบสถ์ก็ยังรอดชีวิตอยู่
ในระหว่างปรับปรุงซ่อมแซมเมืองเลออนเนสอยู่นั้น
“ลานสล็อท” ก็ได้ตัดสินใจที่จะไปจากเมือง "คาเมล็อท" เพราะเขาไม่สามารถจะทนอยู่ในสภาพที่พบกวินิเวียร์ทุกวัน
แต่ไม่อาจได้นางมา จึงเข้าไปบอกลานางสองต่อสอง ซึ่งกวินิเวียร์สะเทือนใจมาก
นางบอกเขาว่านางจะไม่มีวันลืมเขา และก่อนจากกันนั้นเองนางได้เอ่ยปากขอให้เขาจูบนาง
ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เขาเคยบอกนางไว้ตั้งแต่การจากกันครั้งแรกแล้ว
ว่าเขาจะไม่ยอมจูบนางอีกหากนางไม่เป็นฝ่ายขอให้เขาทำ
ทั้งสองโผเข้าจูบลากัน อย่างซาบซึ้ง ดูดดื่ม และอาลัยอาวรณ์ แต่นับเป็นโชคร้ายอย่างยิ่งสำหรับทุกคน
ที่กษัตริย์อาเธอร์เสด็จเข้ามาเห็นเหตุการณ์นั้นพอดี
กษัตริย์อาเธอร์ทรงปลีกวิเวกโดยลำพังอยู่ในโบสถ์เป็นเวลาหลายวัน
ครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่พระองค์ก็ไม่สามารถทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้
พระองค์ยังคงโศกเศร้าระทมทุกข์ และสูญเสียความเชื่อมั่นในทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พระองค์เคยศรัทธามาตลอดชีวิต
พระองค์ทรงตั้งคำถามว่าเหตุใดเรื่องแบบนี้จึงเกิดขึ้นได้กับพระองค์
และในฐานะกษัตริย์ พระองค์จะต้องทำเช่นไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น
พระองค์จึงไปพบทั้ง “กินิเวียร์” และ “ลานสล็อท”
เพื่อฟังคำชี้แจงถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
ในการไต่สวน
"กวินิเวียร์" คำแรกที่กษัตริย์อาเธอร์ถามนางคือ
ขอให้นางพูดความจริงแม้ว่าความจริงนั้นจะทำให้พระองค์เจ็บปวด คำถามแรกก็คือ
นางเคยมอบกายให้ลานสล็อทหรือไม่ ซึ่งนางตอบว่าไม่เคย พระองค์จึงถามต่อ
ว่านางรักลานสล็อทหรือไม่ นางตอบตามความรู้สึกจริง ๆ ว่า "รัก"
กษัตริย์อาเธอร์จึงหันกายกลับมา และเดินเข้ามาเผชิญหน้ากับนางในระยะใกล้และถามว่า
พระองค์ผิดตรงไหน กวินิเวียร์ตอบว่าไม่ใช่ความผิดของพระองค์
กษัตริย์อาเธอร์บอกนางว่า พระองค์เห็นใบหน้าของนางขณะที่กำลังจูบลานสล็อทอยู่
กวินิเวียร์ตอบว่าความรักมีหลายหน้า และว่านางอาจมองพระองค์ในอีกแบบหนึ่งแต่ไม่ได้รักน้อยกว่าที่รักลานสล็อท
กษัตริย์อาเธอร์จึงบอกนางว่า เมื่อหนึ่งหญิงรักสองชายนางต้องเลือกเอาคนหนึ่ง
กวินิเวียร์ตอบว่านางเลือกพระองค์ กษัตริย์อาเธอร์ตอบว่า
นางเลือกพระองค์ด้วยใจภักดิ์ แต่นางได้เลือกลานสล็อทด้วยใจปอง กวินิเวียร์ตอบว่าพระองค์เหนือกว่า
เพราะความภักดีมีอำนาจมากกว่าหัวใจ นางบอกว่านางไม่ได้ตีค่าความรู้สึกไว้สูงส่งเลย
เพราะความรู้สึกนั้นจะมีอยู่แค่เพียงชั่วขณะหนึ่งแล้วก็ผ่านไป
แต่ความภักดีช่วยให้นางอยู่ได้อย่างมั่นคงชั่วชีวิต กษัตริย์อาเธอร์ตอบว่า
เหมือนใจของพระองค์ แต่เมื่อพระองค์มองนางนับจากนี้ไป
ทุกสิ่งที่พระองค์เคยศรัทธามาตลอดชีวิต ได้เลือนหายไปหมดแล้ว
พระองค์บอกว่าพระองค์ต้องการความรักจากนาง
กวินิเวียร์ตอบว่าพระองค์ได้ความรักนั้นแล้ว
กษัตริย์อาเธอร์จึงบอกให้นางมองพระองค์เหมือนกับที่นางมองลานสล็อท
ซึ่งกวินิเวียร์ไม่สามารถทำได้ นางบอกว่านางลืมตัวไปชั่วขณะ
คำชี้แจงของนางทำให้กษัตริย์อาเธอร์โกรธมาก พระองค์บอกว่า ใช่นางไร้เดียงสา
แต่นางรักลานสล็อท ถ้านางไร้เดียงสามากกว่านี้อีกพระองค์คงต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
กวินิเวียร์บอกว่านางจะทำทุกอย่างที่พระองค์รับสั่ง แต่กษัตริย์อาเธอร์บอกว่าพระองค์ไม่รู้ว่าจะคิดอะไรอีกแล้ว
พระองค์มองไม่เห็นแม้แต่หนทางข้างหน้า
พระองค์กล่าวว่ามีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะฝันถึงสิ่งที่เขาไม่มีทางจะเอามาเป็นของตัวเองได้
กวินิเวียร์ขอให้พระองค์ยกโทษให้นาง แต่พระองค์ตอบว่า ไม่มีอะไรจะยก
พระองค์เคยเฝ้าแต่ฝันถึงเธอมาตลอด กับความฝันที่แสนหวานเฉพาะขณะที่ฝันนั้นยังคงอยู่
หลังจากนั้นพระองค์ก็ไต่สวน
"ลานสล็อท" เพื่อฟังคำชี้แจงจากเขา ซึ่ง “ลานสล็อท” ก็ยอมรับกับว่าเขาเคยรู้จัก
“กวินิเวียร์” มาก่อน เขารักนางและมีความปราถนาในตัวนาง และติดตามนางมาที่คาเมล็อท
แต่เขาไม่ได้มีเจตนาจะทรยศพระองค์ และไม่ได้มีเจตนาจะทำให้พระองค์เจ็บปวด
ซึ่งกษัตริย์อาเธอร์ ตอบว่าพระองค์ไม่สามารถจะไม่เจ็บปวดได้
ลานสล็อทยืนยันว่ากวินิเวียร์เป็นผู้บริสุทธิ์
แต่กษัตริย์อาเธอร์บอกลานสล็อทว่านางจะบริสุทธิ์ได้อย่างไร
ในเมื่อนางยอมให้ลานสล็อทกอดจูบ พระองค์ทรงตั้งข้อกล่าวหาว่า ลานสล็อทเป็นกบฎตามกฎหมายของคาเมล็อท
ซึ่งลานสล็อทจะต้องไปแก้ตัวในศาล และกฎหมายจะเป็นผู้วินิจฉัย
กษัตริย์อาเธอร์แจ้งต่อที่ประชุมว่า
ในฐานะส่วนตัวพระองค์ยกโทษให้คนทั้งสองได้ แต่ในฐานะกษัตริย์พระองค์ต้องการความยุติธรรม จึงจำเป็นต้องเปิดการไต่สวนที่จัตุรัสใหญ่ ในใจกลางเมือง "คาเมล็อท" ซึ่งมีอัศวินบางคนคัดค้านว่าเรื่องนี้น่าจะไต่สวนในที่เฉพาะตัว
แต่กษัตริย์อาเธอร์โต้แย้งว่าศักดิ์ศรีของคาเมล็อทไม่ใช่เรื่องเฉพาะตัว เหตุใดพระองค์จะต้องซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ราวกับว่าพระองค์อับอายขายหน้าอย่างนั้นหรือ
พระองค์จึงต้องการให้เปิดประตูเมือง เพื่อให้ให้ทุกคนอยู่ที่นั่น
ให้พลเมืองทั้งหลายได้รับรู้ความจริง
และได้เห็นว่าบ้านเมืองมีตัวบทกฎหมายปกครองคาเมล็อทอยู่
ในการพิจารณาคดีนั้น
กวินิเวียร์และลานสล็อทถูกกล่าวโทษในส่วนของการสมคบคิดซึ่งกันและกัน
สร้างความเสื่อมเสียให้แก่ราชอาณาจักร และล่วงละเมิดสิทธิ์ของกษัตริย์
ความผิดครั้งนี้เป็นความผิดโทษฐานกบฏต่อราชอาณาจักรคาเมล็อท โดยมีบทลงโทษสถานหนัก
คือ...ตาย ลานสล็อทเป็นคนแรกที่ต้องให้การแก้ต่างข้อกล่าวหา
ซึ่งเขาขอชี้แจงกับกษัตริย์อาเธอร์เป็นการส่วนตัว เขาเข้าไปคุกเข่ายืนยันกับกษัตริย์อาเธอร์อีกครั้งหนึ่งว่า
"กวินิเวียร์ยังเป็นผู้บริสุทธิ์"
แต่หากแม้นว่าชีวิตของเขาสามารถรับใช้คาเมล็อทได้ เขายินดีสละชีวิตทันที
โดยขอเพียงให้พระองค์มีรับสั่งมา จากนั้นก็จะเป็นการชี้แจงของกวินิเวียร์
แต่ก่อนที่จะดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป กองกำลังของเจ้าชายมาลากันก็ได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันทุกจุด
และพากันบุกเข้ายึดป้อมปราการทั้งหมด พลธนูเล็งลูกธนูเข้ามายังสถานที่พิจารณาคดี
ขณะเดียวกันเจ้าชายมาลากันก็นำกองกำลังบุกเข้ามา ทางประตูใหญ่ของเมืองที่เปิดอยู่
เนื่องจากทหารที่ควบคุมการเปิดปิดประตูได้ถูกขัดขวางโดยกองกำลังของเจ้าชายมาลากัน
ที่แทรกซึมเข้ามาก่อนหน้านั้น
เจ้าชายมาลากันสามารถนำกองกำลังบุกเข้ามาถึงตัวกษัตริย์อาเธอร์ได้
และภายใต้การล้อมของพลธนูโดยรอบนั้น เจ้าชายมาลากันได้ประกาศกับประชาชนที่มารวมตัวกันอยู่ในที่พิจารณาคดีว่า
เขาสามารถปิดล้อมสถานที่พิจารณาคดี และคุมเส้นทางเข้าออกได้หมดทุกทางแล้ว
ขอให้ทุกคนยอมแพ้และสวามิภักดิ์ต่อเขา
มิฉะนั้นเขาจะสังหารกษัตริย์อาเธอร์และเผาเมืองคาเมล็อทเสีย เขาจะปลดปล่อยประชาชนออกจากความฝันของอาเธอร์
ยกเลิกกฎหมายของอาเธอร์ และพระเจ้าของอาเธอร์ จากนั้นเขาบังคับให้กษัตริย์อาเธอร์
ก้มหัวลงคุกเข่าสิโรราบให้เขาต่อหน้าประชาชนของคาเมล็อท แต่กษัตริย์อาเธอร์
ทรงยืนหยัดที่จะต่อสู้โดยทรงประกาศต่อราษฎร และทหารของพระองค์ว่า
คำสั่งของพระองค์ครั้งสุดท้าย...คือ "ขอให้ทุกคนต่อสู้ให้ถึงที่สุดอย่ายอมแพ้"
พลธนูพากันระดมยิงใส่พระองค์จนพระองค์ได้รับบาดเจ็บสาหัสทันที หลังจากนั้นประชาชน และทหารของกษัตริย์อาเธอร์
พากันต่อสู่กับทหารของเจ้าชายมาลากัน จนได้ชัยชนะในที่สุด โดยลานสล็อท
สามารถสังหารเจ้าชายมาลากัน ลงได้ในการต่อสู้
เมื่อการต่อสู้ยุติลงในระหว่างเวลาก่อนจะสิ้นพระชนม์
“ลานสล็อท” ได้เข้ามาดูอาการของพระองค์ด้วยความเป็นห่วง พระองค์ทรงชมเชยว่า “ลานสล็อท”
เป็นอัศวินที่มีฝีมือในการต่อสู้เก่งที่สุด และพระองค์ได้แต่งตั้งให้ “ลานสล็อท”
ขึ้นเป็นอัศวินอันดับหนึ่ง คือ First Knight มีตำแหน่งและหน้าที่รับผิดชอบดูแลเมือง “คาเมล็อท” ต่อจากพระองค์
และฝากให้ดูแล “กวินิเวียร์” แทนพระองค์ด้วย
จากนั้นพระองค์ได้หันมาทาง
“กวินิเวียร์” และบอกกับนางว่า พระองค์เห็นแสงในดวงตาของนางยามที่มองพระองค์ด้วยความเป็นห่วง
แล้วพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ลงในอ้อมแขนของ “กวินิเวียร์”
กษัตริย์อาเธอร์นั้น
ในอีกมุมหนึ่งพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่อาภัพมาก เพราะพระองค์ทรงงานอย่างหนักมาตลอดชีวิต
เพื่อชาติบ้านเมืองและประชาชนของพระองค์ กว่าจะนำพาให้ชาติบ้านเมืองพ้นภัย
และคืนสันติสุข ความสงบร่มเย็น และปราศจากสงคราม ตลอดจนความกินดีอยู่ดีมาให้ราษฎรได้
อายุของพระองค์ก็ล่วงเข้าวัยชราแล้ว พระองค์จึงเพิ่งจะมีเวลาคิดเรื่องการมีคู่ครอง
แต่แล้วความรักครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตของพระองค์ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า
และเป็นเรื่องโหดร้ายยิ่งที่ทำให้พระองค์เจ็บปวดมาก แต่อย่างน้อยพระองค์ก็ยังมีความสุขจากความรัก
ที่พระองค์เฝ้าฝันถึงมาตลอดชีวิต แม้จะเป็นช่วงขณะเวลาสั้นๆ ก่อนสิ้นลมหายใจ. . .
พระศพของกษัตริย์ “อาเธอร์” ได้ถูกนำออกไปลอยสู่ทะเล
ท่ามกลางความอาลัยรักของบรรดาทหาร และราษฎรของพระองค์
Ref :
แสดงความคิดเห็น